แม้ว่าช่วงต้นปี 2566 "ตลาดหุ้นจีน" หวนกลับมาเป็นเป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง ท่ามกลางความคาดหวังที่ว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมาขยายตัวอย่างรวดเร็วและร้อนแรงจากการเปิดประเทศเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นมาแล้วมากกว่าครึ่งปีการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนก็กลับไม่ได้เป็นไปอย่างตลาดคาดหวัง ขณะเดียวกันก็ยังมีหลายมรสุมที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้มีคำถามขึ้นมากมายเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นจีนช่วงที่เหลือของปี 2566 ว่ายังจะน่าสนใจอยู่อีกหรือไม่ ??

.

สรุปประเด็นสำคัญปัจจัยลบและปัจจัยบวกที่มีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน

***ปัจจัยลบ***

➢ ตัวเลข Economic Activity ยังคงต่ำกว่าการคาดการณ์โดยเฉพาะตัวเลข Retailed Sales, Manufacturing PMI และNet Export

➢ ทางการจีนไม่ได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินใหญ่ ๆ เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่ตลาดคาดหวังว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจจีนนั้นจะฟื้นตัวได้เร็ว โดยทางการจีนมีความระมัดระวังต่อภาระหนี้สินในปัจจุบันค่อนข้างมาก

➢ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐ กลับมาสร้างแรงกดดันต่อตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการกีดกันสินค้าด้านเทคโนโลยี

➢ ในเดือนที่ผ่านมา(ก.ค.66)เริ่มมีข่าวการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ๆ อย่าง Country Garden และ Sino-ocean เพิ่มเติม และเริ่มลุกลามไปถึงอุตสาหกรรม Trustee อีกด้วย

➢ ในที่สุดบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่าง Evergrande ได้ประกาศล้มละลายจึงยิ่งทำให้เพิ่มความกังวลต่อความลุกลามของปัญหาต่าง ๆ

➢ ส่งผลให้เรามีมุมมองการลงทุนว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนในปี 2023 ที่ระดับ +5% มีความเป็นไปได้ยากมากขึ้นเนื่องจากเม็ดเงินในการจะนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น จะต้องถูกลดทอนด้วยการพยายามประคับประคองปัญหาที่มีอยู่ด้วย

***ปัจจัยบวก***

➢ ตลาดหุ้นจีนก็ถือว่ามี Valuation ที่ถูกอยู่มาก โดยมี P/E Ratio ที่ประมาณ 10 เท่า เทียบกับศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวของจีน ทั้งในด้านกำลังแรงงาน, ทรัพยากร, และเทคโนโลยี

➢ จีนมีสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีอยู่มากโดยเฉพาะเมื่่อเทียบกับมาตรฐานของตลาดเกิดใหม่ และจีนมีความก้าวหน้าพัฒนาทางเทคโนโลยีที่โดดเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยี 5G, Clean Energy, EV Car เป็นต้น

➢ เศรษฐกิจของจีน มีการพึ่งพาการบริโภคและเทคโนโลยีภายในประเทศค่อนข้างมาก ทำให้เศรษฐกิจจีนสามารถขับเคลื่อนเองได้จากภายใน

➢ ทางการจีนมีท่าทีที่เป็นมิตรกับภาคเอกชนที่มากขึ้น โดยได้ทยอยเข้าเจรจากับภาคธุรกิจขนาดใหญ่ต่างๆในจีน โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีเพื่อช่วยกันหาทางสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะต่อจากนี้โดยได้มีการออกมาตรการต่างๆในการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศผ่านการให้ความสนันสนุนด้านผลประโยชน์ทางภาษี

➢ การดำเนินนโยบายต่างๆของรัฐบาลจีนนั้นจะมีผลกับภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนเป็นอย่างมาก ดังนั้นการพลิกฟื้นของเศรษฐกิจจีนอย่างรวดเร็วนั้นก็อาจเกิดขึ้นได้จากแนวทางการแก้ไขปัญหาของทางการจีนเป็นสำคัญ

➢การถือหุ้นจีนจะได้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงเนื่องจากหุ้นจีนก็มี  Correlation  ที่แตกต่างจากดัชนีหุ้นโลกและดัชนีหุ้นไทยอยู่มาก

--------------------
***ตลาดหุ้นจีนยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่ ?
- เรามีมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นจีนลดลงในระยะสั้นถึงกลาง เนื่องจากความน่ากังวลจากปัญหาต่างๆ น่าจะยังต้องใช้เวลาในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ดังนั้น Upside ของตลาดหุ้นจีนในระยะสั้นถึงกลางยังคงมีแรงกดดันและยังคาดหวังได้ยาก
--------------------

**แนะลงทุน 2 ธีมหลัก ชูหุ้นไทยและกระจาย ETF หุ้นทั่วโลก
- คำแนะนำการลงทุนช่วงนี้เน้น 2 ธีมหลัก ได้แก่ ลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยมีกองทุนที่แนะนำเป็นกองทุน Merchant Small Mid Cap Fund (SMC) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในหุ้นไทยของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่ดี โดยมุ่งเน้นการคัดเลือกหลักทรัพย์แบบ Bottom-up และมีการติดตามผลประกอบการและปัจจัยต่างๆอย่างใกล้ชิด รวมถึงการติดตามผลกระทบทางเศรษฐกิจ และกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์ในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง และนับตั้งแต่ต้นปี (YTD) ยัง Underperformance ตลาดหุ้นโลกเป็นอย่างมาก ตามความกังวลต่อความยืดเยื้อของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความชัดเจนทางการเมืองน่าจะเป็นแรงส่งให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ดีในระยะต่อจากนี้ รวมถึงการใช้กลยุทธ์ในการ Bottom-up หุ้นขนาดกลางและเล็กนั้น น่าจะยิ่งช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานที่ดีให้กับพอร์ตลงทุนในระยะต่อจากนี้ได้

- และธีมลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยมีกองทุนที่แนะนำเป็นกองทุน Merchant Power ETF (ETF) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนใน ETF ตราสารทุนทั่วโลกที่ประมาณ 70% และใน ETF ตราสารหนี้ที่ประมาณ 30% โดยมุ่งเน้นการคัดเลือกหลักทรัพย์แบบ Top-up ผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์มหภาค และการจับกระแสการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆในภาพของเศรษฐกิจโลก เพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนในภูมิภาคและกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มที่ดีและมีความได้เปรียบในเชิงแข่งขันในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐได้ปรับตัวลดลงอย่างมากในปีที่ผ่านมา เรามีมุมมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกได้ผ่านช่วงที่ผันผวนที่สุดไปแล้ว และการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงในสหรัฐนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก สะท้อนจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่ประกาศออกมาอย่างแข็งแกร่ง จึงเป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสมทั้งตราสารทุนและตราสารหนี้ต่างประเทศ ตามแรงกดดันต่อการเร่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่กำลังปรับตัวลดลง และภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นแล้ว

คุณปิยพร มณเฑียร
Senior Vice President Fund Manager บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด
➡️สนใจลงทุนกับ บลจ. Merchant Partners
➡️โทร 02-660-6689 หรือ Line : https://page.line.me/merchantasset

คำเตือน :
-การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
-ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
-การลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลมิใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยงของการลงทุน ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนคืนมากกว่าหรือน้อยกว่าเงินลงทุนแรกเริ่มก็ได้
ดังนั้น ผู้ลงทุนควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตนและผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนดังกล่าวได้